|
ราชกุมาร! ครั้นเรากลืนกินอาหารหยาบ ทำกายให้มีกำลังได้แล้ว ,
เพราะสงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลาย จึงบรรลุฌานที่ 1 มีวิตกวิจาร
มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกแล้วแลอยู่
เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุฌานที่ 2
เป็นเครื่องผ่องใสในภายใน เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร
มีแต่ปีติและสุข อันเกิดแต่สมาธิแล้วแลอยู่
เพราะความจางไปแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยกาย จึงบรรลุฌานที่ 3
อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้ากล่าวว่าผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้อยู่อุเบกขา
มีสติอยู่เป็นสุข , แล้วแลอยู่
และเพราะละสุขและทุกข์เสียได้
เพราะความดับหายไปแห่งโสมนัสและโทมนัสในกาลก่อน จึงได้บรรลุฌานที่
4 อันไม่ทุกข์ไม่สุข มีแต่ความที่สติเป็นธรรมชาติบริสุทธิ์
เพราะอุเบกขาแล้วแลอยู่
เรานั้น ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส
เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงานถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว
ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ
เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ คือ
ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติ สามชาติ สี่ชาติ ห้าชาติบ้าง,
สิบชาติ ยี่สิบชาติ สามสิบชาติ สี่สิบชาติ ห้าสิบชาติบ้าง ,
ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติบ้าง , ตลอดหลายสังวัฏฏกัปป์
หลายวิวัฏฏกัปป์ หลายสังวัฏฏกัปป์และวิวัฏฏกัปป์บ้าง ,
ว่าเมื่อเราอยู่ในภพโน้น มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ
มีอาหารอย่างนั้นๆ , เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้นๆ มีอายุสุดลงเท่านั้น
; ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้เกิดในภพโน้น มีชื่อ โคตร วรรณะ
อาหารอย่างนั้นๆ , ได้เสวยสุขและทุกข์เช่นนั้นๆ
มีอายุสุดลงเท่านั้น ; ครั้นจุติจากภพนั้นๆ แล้ว มาเกิดในภพนี้
เรานั้นระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อนได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการและลักษณะ ดังนี้
ราชกุมาร! นี่เป็นวิชชาที่ 1 ที่เราได้บรรลุแล้วในยามแรกแห่งราตรี
อวิชชาถูกทำลายแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว , ความมืดถูกทำลายแล้ว
ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว , เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท
มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ , โดยควร
เรานั้น ครั้นเมื่อจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน
ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเฉพาะต่อ
จุตูปปาตญาณ
เรามีจักขุทิพย์ บริสุทธิ์กว่าจักขุของสามัญมนุษย์ ,
ย่อมแลเห็นสัตว์ทั้งหลายจุติอยู่ บังเกิดอยู่ , เลวทราม ประณีต ,
มีวรรณะดี มีวรรณะเลว , มีทุกข์ มีสุข
เรารู้แจ้งชัด หมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า “ผู้เจริญทั้งหลาย!
สัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
พูดติเตียนพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นมิจฉาทิฏฐิ
ประกอบการงานด้วยอำนาจ มิจฉาทิฏฐิ , เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป
ย่อมพากันเข้าสู่อบายทุคติวินิบาตนรก
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย! ส่วนสัตว์เหล่านี้หนอ ประกอบกายสุจริต
วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า , เป็นสัมมาทิฏฐิ
ประกอบการงานด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ , เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป
ย่อมพากันเข้าสู่สุคติโลกสวรรค์”
เรามีจักขุทิพย์บริสุทธิ์
ล่วงจักขุสามัญมนุษย์ เห็นเหล่าสัตว์ผู้จุติอยู่ บังเกิดอยู่ เลว
ประณีต มีวรรณะดี วรรณะทราม มีทุกข์ มีสุข
รู้ชัดหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมได้ฉะนี้
ราชกุมาร! นี้เป็นวิชชาที่ 2
ที่เราได้บรรลุแล้วในยามกลางแห่งราตรี อวิชชาถูกทำลายแล้ว
วิชชาเกิดขึ้นแล้ว , ความมืดถูกทำลายแล้ว
ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว, เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท
มีเพียรเผาบาป มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ , โดยควร
เรานั้น ครั้นจิตตั้งมั่นบริสุทธิ์ผ่องใสไม่มีกิเลส
ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติอ่อนโยนควรแก่การงาน
ถึงความไม่หวั่นไหวตั้งอยู่เช่นนี้แล้ว ก็น้อมจิตไปเฉพาะต่อ
อาสวักขยญาณ , เราย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า “นี่ทุกข์ ,
นี่เหตุแห่งทุกข์ , นี่ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ,
นี่ทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งทุกข์ ;
และเหล่านี้เป็นอาสวะทั้งหลาย , นี้เหตุแห่งอาสวะทั้งหลาย ,
นี้ความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย ,
นี้เป็นทางให้ถึงความดับไม่มีเหลือแห่งอาสวะทั้งหลาย”
เมื่อเรารู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตก็พ้นจาก กามาสวะ
ภวาสวะ และอวิชชาสวะ
ครั้นจิตพ้นวิเศษแล้ว ก็เกิดญาณหยั่งรู้ว่า จิตพ้นแล้ว
เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์จบแล้ว กิจที่ต้องทำ ได้ทำสำ
เร็จแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำเพื่อความ ( หลุดพ้น ) เป็นอย่างนี้
มิได้มีอีก
ราชกุมาร! นี่เป็นวิชชาที่ 3
ที่เราได้บรรลุแล้วในยามปลายแห่งราตรี อวิชชาถูกทำลายแล้ว
วิชชาเกิดขึ้นแล้ว , ความมืดถูกทำลายแล้ว ความสว่างเกิดขึ้นแทนแล้ว
, เช่นเดียวกับที่เกิดแก่ผู้ไม่ประมาท มีเพียรเผาบาป
มีตนส่งไปแล้วแลอยู่ , โดยควร
|
|