|
อนุรุทธะทั้งหลาย! นิมิตนั้นแหละ เธอพึงแทงตลอดเถิด
แม้เราเมื่อครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ ยังไม่ได้ตรัสรู้
ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ก็จำแสงสว่างและการเห็นรูปทั้งหลายได้
ต่อมาไม่นาน แสงสว่างและการเห็นรูปของเรานั้นๆ ได้หายไป
เกิดความสงสัยแก่เราว่า อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย
ที่ทำให้แสงสว่างและการเห็นรูปนั้นหายไป?
อนุรุทธะทั้งหลาย! เมื่อคิดอยู่ ก็เกิดความรู้ ( ดังต่อไปนี้
) ว่า : - วิจิกิจฉา ( ความลังเล ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ,
สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว ก็เพราะมีวิจิกิจฉาเป็นต้นเหตุ
ครั้นสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา จะไม่บังเกิดขึ้นแก่เราได้อีก …
( มีคำระหว่างนี้เหมือนท่อนต้น ไม่มีผิด ทุกตอน ตั้งแต่คำว่า
ต่อมาไม่นาน จนถึงคำว่า เกิดความรู้ ( ดังต่อไปนี้ ) ว่า :- )
อมนสิการ ( ความไม่ทำไว้ในใจ คือไม่ใส่ใจ ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว
, สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว ก็เพราะมีอมนสิการ เป็นต้นเหตุ
ครั้นสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูป ย่อมหายไป
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา และอมนสิการ
จะไม่เกิดขึ้นแก่เราได้อีก
ถีนมิทธะ ( ความเคลิ้มและง่วงงุน ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ,
สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีถีนมิทธะเป็นต้นเหตุ
ครั้นสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา , อมนสิการ , และถีนมิทธะ
จะไม่บังเกิดขึ้นแก่เราได้อีก
ฉัมภิตัตตะ ( ความสะดุ้งหวาดเสียว ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ,
สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีฉัมภิตัตตะเป็นต้นเหตุ
ครั้นสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เหมือนบุรุษเดินทางไกล เกิดผู้มุ่งหมายเอาชีวิตขึ้นทั้งสองข้างทาง
ความหวาดเสียวย่อมเกิดแก่เขา เพราะข้อนั้นเป็นเหตุ ฉะนั้น
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ ,
และฉัมภิตัตตะ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก
อุพพิละ ( ความตื่นเต้น ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว , สมาธิ
ของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีอุพพิละนั้นเป็นต้นเหตุ
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เหมือนบุรุษแสวงหาอยู่ซึ่งขุมทรัพย์ขุมเดียว เขาพบพร้อมกัน
คราวเดียวตั้ง 5 ขุม ความตื่นเต้นเกิดขึ้นเพราะการพบนั้นเป็นเหตุ
ฉะนั้น เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา , อมนสิการ ,
ถีนมิทธะ , ฉัมภิตัตตะและอุพพิละ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก
ทุฏฐุลละ ( ความคะนองหยาบ ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ,
สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีทุฏฐุลละนั้นเป็นต้นเหตุ
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ ,
ฉัมภิตัตตะ , อุพพิละ , และทุฏฐุลละ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก
อัจจารัทธวิริยะ ( ความเพียรที่ปรารภจัดจนเกินไป ) แล
เกิดขึ้นแก่เราแล้ว , สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีอัจจา
รัทธวิริยะนั้นเป็นต้นเหตุ เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เปรียบเหมือนบุรุษจับนกกระจาบด้วยมือทั้งสองหนักเกินไป
นกนั้นย่อมตายในมือ ฉะนั้น เราจักกระทำ โดยประการที่วิจิกิจฉา ,
อมนสิการ , ถีนมิทธะ , ฉัมภิตัตตะ , อุพพิละ, ทุฏฐุลละ ,
และอัจจารัทธวิริยะ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก
อติลีนวิริยะ ( ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ) แล
เกิดขึ้นแก่เราแล้ว , สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว
เพราะมีอติลีนวิริยะนั้นเป็นต้นเหตุ. เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เปรียบเหมือนบุรุษจับนกกระจาบหลวมมือเกินไป
นกหลุดขึ้นจากมือบินหนีเสียได้ ฉะนั้น
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ ,
ฉัมภิตัตตะ , อุพพิละ , ทุฏฐุลละ , อัจจารัทธวิริยะ ,
และอติลีนวิริยะ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก
อภิชัปปา ( ความกระสันอยาก ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ,
สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีอภิชัปปาเป็นต้นเหตุ
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ ,
ฉัมภิตัตตะ , อุพพิละ , ทุฏฐุลละ , อัจจารัทธวิริยะ , อติลีนวิริยะ
และอภิชัปปาจะไม่เกิดขึ้นแก่เราได้อีก
นานัตตสัญญา ( ความใส่ใจไปในสิ่งต่างๆ ) แล เกิดขึ้นแก่เราแล้ว ,
สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว เพราะมีนานัตตสัญญา นั้นเป็นต้นเหตุ
เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป
เราจักกระทำโดยประการที่ วิจิกิจฉา , อมนสิการ , ถีนมิทธะ ,
ฉัมภิตัตตะ , อุพพิละ , ทุฏฐุลละ , อัจจารัทธวิริยะ , อติลีนวิริยะ
, อภิชัปปา , และนานัตตสัญญา จะไม่เกิดแก่เราได้อีก รูปานัง
อตินิชฌายิตัตตะ (ความเพ่งต่อรูปทั้งหลาย จนเกินไป) แล
เกิดขึ้นแก่เราแล้ว, สมาธิของเราเคลื่อนแล้ว
เพราะมีอตินิชฌายิตัตตะเป็นต้นเหตุ เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว
แสงสว่างและการเห็นรูปย่อมหายไป เราจักกระทำโดยประการที่วิจิกิจฉา
, อมนสิการ , ถีนมิทธะ , ฉัมภิตัตตะ , อุพพิละ , ทุฏฐุลละ ,
อัจจารัทธวิริยะ , อติลีนวิริยะ , อภิชัปปา , นานัตตสัญญา
และรูปานัง อตินิชฌายิตัตตะ จะไม่เกิดแก่เราได้อีก
อนุรุทธะทั้งหลาย! เรารู้แจ้งชัดวิจิกิจฉา ( เป็นต้นเหล่านั้น
) ว่าเป็นอุปกิเลสแห่งจิตแล้ว จึงละแล้วซึ่งวิจิกิจฉา (
เป็นต้นเหล่านั้น ) อันเป็นอุปกิเลส แห่งจิตเสีย
อนุรุทธะทั้งหลาย! เรานั้นเมื่อไม่ประมาท มีเพียร
มีตนส่งไปอยู่ย่อมจำแสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรูป ( หรือ )
ย่อมเห็นรูป แต่จำแสงสว่างไม่ได้ เป็นดังนี้ทั้งคืนบ้าง
ทั้งวันบ้าง ทั้งคืนและทั้งวันบ้าง
ความสงสัยเกิดแก่เราว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่เราจำ
แสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรูป ( หรือ ) เห็นรูป แต่จำแสงสว่างไม่ได้
ทั้งคืนบ้าง ทั้งวันบ้าง ทั้งคืนและทั้งวันบ้าง ?
อนุรุทธะทั้งหลาย! ความรู้ได้เกิดแก่เราว่า
สมัยใดเราไม่ทำรูปนิมิตไว้ในใจ แต่ทำโอภาสนิมิตไว้ในใจ
สมัยนั้นเราย่อมจำ แสงสว่างได้ แต่ไม่เห็นรูป
สมัยใดเราไม่ทำโอภาสนิมิตไว้ในใจ แต่ทำรูปนิมิตไว้ในใจ ,
สมัยนั้นเราย่อมเห็นรูปแต่จำแสงสว่างไม่ได้ ตลอดทั้งคืนบ้าง
ตลอดทั้งวันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง
อนุรุทธะทั้งหลาย! เราเป็นผู้ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไปอยู่
ย่อมจำแสงสว่างได้นิดเดียว เห็นรูปก็นิดเดียวบ้าง ,
จำแสงสว่างมากไม่มีประมาณ เห็นรูปก็มาก ไม่มีประมาณบ้าง
เป็นดังนี้ทั้งคืนบ้าง ทั้งวันบ้าง ทั้งคืนและทั้งวันบ้าง.
ความสงสัยเกิดแก่เราว่า อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ที่เราจำแสงสว่างได้นิดเดียว เห็นรูปก็นิดเดียวบ้าง ,
จำแสงสว่างได้มากไม่มีประมาณ เห็นรูปก็มากไม่มีประมาณ
ตลอดทั้งคืนบ้าง ตลอดทั้งวันบ้าง ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง
อนุรุทธะทั้งหลาย! ความรู้ได้เกิดแก่เราว่า สมัยใดสมาธิของเราน้อย
สมัยนั้นจักขุก็มีน้อย , ด้วยจักขุอันน้อย
เราจึงจำแสงสว่างได้น้อยเห็นรูปก็น้อย.
สมัยใดสมาธิของเรามากไม่มีประมาณ
สมัยนั้นจักขุของเราก็มากไม่มีประมาณ ,
ด้วยจักขุอันมากไม่มีประมาณนั้น เราจึงจำแสงสว่างได้มากไม่มีประมาณ
เห็นรูปได้มากไม่มีประมาณ , ตลอดคืนบ้าง ตลอดวันบ้าง
ตลอดทั้งคืนและทั้งวันบ้าง
อนุรุทธะทั้งหลาย! ในกาลที่เรารู้แจ้งว่า ( ธรรมมี ) วิจิกิจฉา (
เป็นต้นเหล่านั้น ) เป็นอุปกิเลสแห่งจิตแล้ว และละมันเสียได้แล้ว
กาลนั้นย่อมเกิดความรู้สึกขึ้นแก่เราว่า
“อุปกิเลสแห่งจิตของเราเหล่าใด อุปกิเลสนั้นๆ เราละได้แล้ว ,
เดี๋ยวนี้ เราเจริญแล้วซึ่งสมาธิโดยวิธี 3 อย่าง”
อนุรุทธะทั้งหลาย! เราเจริญแล้ว ซึ่งสมาธิอันมี วิตกวิจาร ,
ซึ่งสมาธิอันไม่มีวิตก แต่มีวิจารพอประมาณ ,
ซึ่งสมาธิอันไม่มีวิตกไม่มีวิจาร , ซึ่งสมาธิอันมีปีติ ,
ซึ่งสมาธิอันหาปีติมิได้ , ซึ่งสมาธิอันเป็นไปกับด้วยความยินดี ,
และสมาธิอันเป็นไปกับด้วยอุเบกขา
อนุรุทธะทั้งหลาย! กาลใดสมาธิอันมีวิตกมีวิจาร (
เป็นต้นเหล่านั้นทั้ง 7 อย่าง ) เป็นธรรมชาติอันเราเจริญแล้ว ,
กาลนั้นญาณเป็นเครื่องรู้เครื่องเห็นเกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า
“วิมุตติของเราไม่กลับกำเริบ , ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ,
บัดนี้ภพเป็นที่เกิดใหม่ไม่มีอีก” ดังนี้
|
|